วันพฤหัสบดีที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ขุนช้าง ขุนแผน วิถีชีวิตไทย กำเนิดขุนช้าง ขุนแผน และนางพิม

ขุนช้าง ขุนแผน วิถีชีวิตไทย

กำเนิดขุนช้าง ขุนแผน และนางพิม

กรุงศรีอยุธยาเป็นเมืองที่สงบสุข มีเมืองขึ้นมากมายและมีเรื่องราวของขุนช้าง ขุนแผน และนางพิมพิลาไลย เกิดขึ้นที่เมืองสุพรรณบุรี

สมัยที่สมเด็จพระพันวษาครองกรุงศรีอยุธยา
มีชายคนหนึ่งชื่อ ขุนไกร อยู่ที่บ้านพลับได้แต่งงานอยู่กินกับนางทองประศรี ชาวบ้านแถววัดตะไกร ต่อมาขุนไกรย้ายไปรับราชการทหารที่เมืองสุพรรณบุรี ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นนายกรมช้างกองนอก ชื่อ ขุนศรีวิไชย ได้เมียชื่อนางเทพทอง อยู่ที่บ้านท่าสิบเบี้ย เมืองสุพรรณบุรี และพันศรโยธา มีเมียชื่อ นางศรีประจัน เป็นชาวบ้านท่าสิบเบี้ยเช่นเดียวกัน นอกจากนั้นนางศรีประจัน ยังมีน้องสาวอีกคนหนึ่ง ชื่อ นางบัวประจัน มีผัวเป็นชาว บางเหี้ย ชื่อนายโชดคง ไม่มีอาชีพนอกจากเป็นโจร เที่ยวขโมยควายของชาวบ้าน
วันหนึ่ง นางเทพทอง เกิดฝันประหลาด ขุนศรีวิไชยทำนายฝันว่าจะได้ลูกชาย
ฝ่ายนางทองประศรี ฝันว่าพระอินทร์เหาะลงมายื่นแหวนเพชรเม็ดใหญ่ให้ ขุนไกรทำนายฝันว่าจะได้ลูกชาย ซึ่งภายภาคหน้าจะได้เป็นทหารใหญ่
"...นิมิตฝันว่าท้าวสหัสนัยน์ ถือแหวนเพชรเม็ดใหญ่เหาะดั้นมา
ครั้นถึงจึงยื่นแหวนนั้นให้
นางรับแหวนไว้ด้วยหรรษา
แสงเพชรส่องวาบปลาบเข้าตา
ตื่นผวาคว้าทั่วปลุกผัวพลัน"
ส่วนนางศรีประจัน ก็ฝันเช่นเดียวกันโดยฝันว่า พระวิษณุกรรม เหาะเอาแหวนมาให้ และพันศรโยธาทำนายฝันว่า จะได้ลูกสาวที่มีความสวยงามมาก
" ท่านขาคืนนี้ข้าเจ้าฝัน ว่าพระวิษณุกรรมนายช่างใหญ่
ถือแหวนประดับงามจับใจ
เอามาส่งให้ไว้กับเรา..."

ต่อมาทั้งสามก็ตั้งครรภ์ และคลอดบุตรออกมาในเวลาไล่เลี่ยกัน นางเทพทองคลอดบุตรเป็นชายหัวล้านได้ชื่อว่า ขุนช้าง นางทองประศรีคลอดบุตรเป็นชาย รูปร่างหน้าน่ารัก ได้ชื่อว่า พลายแก้ว และนางศรีประจันคลอดบุตรเป็นหญิง ได้ชื่อว่า พิมพิลาไลย

เด็กทั้งสามนี้เป็นเพื่อนเล่นกันมา ครั้งหนึ่งขณะเล่นกันอยู่ พลายแก้วเกิดอุตริชวนขุนช้างและนางพิม เล่นผัวเมีย ขุนช้างเห็นด้วย นางพิมไม่อยากเล่น พลายแก้วคะยั้นคะยอให้เล่น โดยบอกว่า ให้เล่นเป็นเมียขุนช้างไปพลาง ๆ แล้วตนจะไปลักมาจากขุนช้าง นางพิมจึงยอมเล่น ซึ่งนับว่าเป็นลางที่จะต้องเกิดขึ้นในวันข้างหน้า ทำให้เทวดาดลใจ ให้คิดเล่นผัวเมียขึ้นมา
เมื่อขุนช้างโตขึ้น ขุนศรีวิไชยได้พาไปถวายตัวกับ สมเด็จพระพันวษา เป็นกษัตริย์ที่มีพระบรมเดชานุภาพมาก เมืองต่าง ๆ พากันเข้ามาสวามิภักดิ์ และส่งราชบรรณการมาให้มิได้ขาด และทรงเป็นกษัตริย์ที่มีจริยธรรม ปกครองกรุงศรีอยุธยาและบรรดาเมืองขึ้น ให้อยู่เย็นเป็นสุขตลอดมา ซึ่งพระองค์ก็รับขุนช้างไว้ แต่เนื่องด้วยยังเด็กมาก ก็ให้ขุนศรีวิไชยดูแลไปก่อนพ่อของขุนช้าง ขุนแผน และนางพิม
อยู่มาวันหนึ่งพระองค์ก็ได้ข่าวว่า ป่าทางเมืองสุพรรณบุรี มีควายป่าอยู่มาก คิดอยากไปประพาสป่า ล่าควายป่าที่นั่น ก็ทรงให้พระยาเดโช จัดการเรื่องเตรียมกระบวนไพร่พล ให้ขุนศรีวิไชยบอกให้ขุนไกร รวบรวมพวกไพร่ ช้างม้าต่าง ๆ คืนนั้นขุนไกรก็เกิดมีลางร้ายเห็นแมงมุมตีอก ส่วนนางทองประศรีก็ฝันร้ายว่าฟันหัก ขุนไกรฟังแล้วเห็นว่าเป็นลางร้าย รู้ว่าคราวนี้คงไม่รอด เมื่อตื่นเช้าจึงสั่งเสียให้นางทองประศรีดูแลลูกให้ดี
เมื่อขบวนเสด็จถึงป่าสุพรรณบุรี ก็ได้สั่งให้ตั้งตำหนักห้างที่กลางป่า ให้หลวงฤทธานนท์ทำคอก และให้ขุนไกรไปไล่ควายป่ามาเข้าคอก
รุ่งเช้าขุนไกรก็พาไพร่พลไปไล่ควายป่า โดยให้จุดไฟเผาเป็นวงล้อมเข้ามาเรื่อย ๆ ควายป่าเห็นไฟ และได้ยินเสียงคนอึกทึก ก็แตกตื่นวิ่งมาไล่ขวิดผู้คน ขุนไกรเข้าขวางแล้วใช้หอกแทงควายตายล้มลง เป็นจำนวนมาก พระพันวษาทรงพระพิโรธ สั่งให้ประหารขุนไกร แล้วริบสมบัติ ข้าทาสบริวารและลูกเมีย
ขุนไกรได้ยินก็ตกใจมาก เพราะเกรงบารมีพระพันวษา ทำให้ความอยู่ยงคงกระพันหมดไป
" ครานั้นฝ่ายตาขุนไกร ตกใจดังจะยับเป็นผุยผง
ตัวสั่นขวัญหนีเหมือนผีลง จะดำรงกายนั้นก็เต็มที
หน้าซีดผาดเผือดจนเลือดหาย ภูตพรายในตัวก็หลีกหนี
สิ้นสติตัวสั่นขวัญไม่มี ดั่งจะดับชีวีในทันใด..."
หลังจากที่ขุนไกรตาย หลวงฤทธานนท์ก็สั่งให้ คนถือจดหมายไปบอกกับนางทองประศรีถึงเรื่องราวทั้งหมด และให้รีบหนีไป นางทองประศรีก็พาพลายแก้วหนีไปอยู่กับญาติของขุนไกรที่ดอนเขาชนไก่ เมืองกาญจนบุรี ทำมาหากินจนมีทรัพย์สินมากมาย
มีนายโจรคนหนึ่งชื่อนายจันศร เป็นผู้อยู่ยงคงกระพัน อยู่ที่บ้านโป่งแดง คอยปล้นสดมภ์ชาวบ้านจนเป็นที่หวาดกลัวกันทั่ว วันหนึ่งคิดจะไปปล้นบ้านขุนศรีวิไชย ที่บ้านรั้วใหญ่ในสุพรรณ เพราะขุนศรีวิไชยกับนางเทพทองเป็นคนรวยมาก เมื่อพาพวกไปปล้นบ้านขุนศรีวิไชย ขุนศรีวิไชยพาชาวบ้านต่อสู้ ขุนศรีวิไชยแพ้ ถูกโจรจันศรจับได้และใช้หลาวสวนรูทวารตาย ฝ่ายพันศรโยธานั้น ได้ไปค้าขายอยู่ที่ละว้า เมื่อกลับมาเกิดเป็นไข้ป่วยหนักและตายลง นางศรีประจันและนางเทพทอง จึงร่วมกันเผาศพทั้งขุนศรีวิไชย และพันศรโยธา เสียในคราวเดียวกัน

ขุนช้าง ขุนแผน ในพงศาวดาร



ขุนช้าง ขุนแผน ในพงศาวดาร



เรื่องขุนช้าง ขุนแผน มีเนื้อความปรากฏในหนังสือคำให้การชาวกรุงเก่า ซึ่งนับเป็นเรื่อง ในพระราชพงศาวดาร สรุปสาระได้ดังนี้

พระราชวงศ์ของ พระเจ้าอู่ทอง ได้ครองราชสมบัติ ในกรุงศรีอยุธยาตามลำดับหลายพระองค์ จนถึงพระเจ้าแผ่นดินทรงพระนามว่า พระพันวษา มีพระมเหสีทรงพระนามว่า สุริยวงษาเทวี มีพระราชโอรสองค์หนึ่งมีพระนามว่า พระบรมกุมาร
ต่อมา พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตลานช้าง ปรารถนาจะเป็นพันธมิตรกับกรุงศรีอยุธยา จึงส่งพระราชธิดาองค์หนึ่งมาถวายพระพันวษา ระหว่างทางได้ถูกพระเจ้าโพธิสารราชกุมาร เจ้านครเชียงใหม่ ไม่ต้องการให้กรุงศรีสัตนาคนหุต มาเป็นมิตรกับกรุงศรีอยุธยา ส่งกำลังเข้าแย่งชิงพระราชธิดาไป
สมเด็จพระพันวษาทราบเรื่องก็ทรงพระพิโรธ สั่งให้ยกทัพไปตีนครเชียงใหม่ ในการนี้จำต้องหาผู้ที่มีฝีมือในการรบไปทำการ พระจมื่นศรีมหาดเล็ก ได้กราบทูลให้ใช้ ขุนแผน ซึ่งต้องโทษอยู่ในคุกให้เป็นแม่ทัพหน้ายกไปตีเมืองเชียงใหม่ ขุนแผนก็รับอาสาพร้อมกับถวายทัณฑ์บนว่าถ้าทำการไม่สำเร็จก็จะขอถวายชีวิต พระพันวษาจึงตั้งให้ขุนแผนเป็นแม่ทัพ ถืออาญาสิทธิ์คุมกองทัพไทย ไปตีนครเชียงใหม่
เมื่อกองทัพยกไปถึงเมืองพิจิตร ได้ไปขอดาบเวทวิเศษ (ดาบฟ้าฟื้น) กับม้าวิเศษ (ม้าสีหมอก) ที่ฝากเจ้าเมืองพิจิตรไว้คืนมา เพื่อนำไปใช้ในการศึก เมื่อกองทัพถึงเชียงใหม่ ฝ่ายเชียงใหม่ได้ทำการต่อสู้เป็นสามารถ แต่สู้ไม่ได้ ขุนแผนเข้านครเชียงใหม่ได้ เจ้านครเชียงใหม่หนีไป ขุนแผนจึงจับอรรคสาธุเทวี มเหสีเจ้าเชียงใหม่กับพระราชธิดานามว่า เจ้าแว่นฟ้าทอง พร้อมสนมเจ้านครเชียงใหม่ไว้ และให้เชิญนางสร้อยทอง ราชธิดาพระเจ้าลานช้าง พร้อมทั้งมเหสีและราชธิดาเจ้านครเชียงใหม่ เลิกทัพกลับมาถวายพระเจ้ากรุงศรีอยุธยา
สมเด็จพระพันวษา ได้โปรดเกล้า ฯ ให้พระเจ้าเชียงใหม่ กลับมาครองเมืองเชียงใหม่ ตามเดิม เพื่อความสงบสุขของสมณชีพราหมณ์และราษฎรชาวเมืองเชียงใหม่ และให้พระราชทานบำเหน็จรางวัลแก่ขุนแผนและกำลังพลในกองทัพโดยทั่วหน้า ทรงตั้งนางสร้อยทองเป็นพระมเหสีซ้าย นางแว่นฟ้าเป็นสนมเอก ส่วนมเหสีเจ้านครเชียงใหม่ ทรงส่งคืนให้เจ้านครเชียงใหม่ ส่วนบรรดาข้าคนชาวลานช้างและชาวเชียงใหม่ ก็ให้ตั้งถิ่นฐานทำมาหากินในกรุงศรีอยุธยา
ฝ่ายขุนแผนเมื่อเห็นว่าตนชราภาพแล้ว จึงนำดาบเวทวิเศษของตนถวายสมเด็จพระพันวษา พระองค์ทรงรับไว้เป็นพระแสงทรงสำหรับพระองค์ และทรงพระราชทานว่า พระแสงปราบศัตรู
สมเด็จพระพันวษาครองราชย์ได้ 25 พรรษา เสด็จสวรรคตเมื่อพระชนมายุ 40 พรรษา
จากหลักฐานดังกล่าว เรื่องขุนช้างขุนแผน เป็นเรื่องที่เกิดในแผ่นดินสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ระหว่าง พ.ศ. 2034 - พ.ศ. 2072
เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน

เดิมเรื่องขุนช้าง ขุนแผน เล่าเป็นนิทาน แต่เนื่องจากเป็นเรื่องที่ยาวมาก เมื่อแต่งเป็นกลอน และขับเป็นลำนำด้วยก็ยิ่งจะต้องใช้เวลามาก ไม่สามารถจะขับให้ตลอดเรื่องในคืนเดียวได้ บทเสภาที่แต่งขึ้นจึงแต่งแต่เป็นตอนพอที่จะขับได้ภายในหนึ่งคืน ดังนั้น บทเสภาเดิมตั้งแต่ครั้งกรุงเก่า หรือที่แต่งสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ จึงแต่งเป็นท่อนเป็นตอน ไม่เป็นเรื่องติดต่อเหมือนกับบทละคร การเอาบทเสภามารวมติดต่อกันให้เป็นเรื่องโดยสมบูรณ์ เพิ่งทำในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า ฯ
หนังสือเสภาสมัยกรุงเก่าน่าจะสูญหายหมด เนื่องจากผู้ที่แต่งหนังสือเสภาสำหรับขับหากิน น่าจะปิดบังหนังสือของตน เพื่อป้องกันผู้อื่นมาแข่งขัน จะให้อ่านเพื่อท่องจำก็เฉพาะในหมู่ศิษย์และคนใกล้ชิด ด้วยสภาพดังกล่าวหนังสือเสภาจึงสาบสูญได้ง่าย ไม่เหมือนหนังสือประเภทอื่น เช่น หนังสือบทละคร และหนังสือสวด ดังนั้น บทเสภาครั้งกรุงเก่า จึงตกมาถึงกรุงรัตนโกสินทร์เพียงเล็กน้อย จากการจดจำกันมาและมีไม่มากตอน
ตำนานเสภาสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ มีหลักฐานแสดงที่มาได้ค่อนข้างดี ซึ่งจะพบได้จากกลอนของสุนทรภู่ กลอนไหว้ครู ที่ได้มีการเอ่ยชื่อครูเสภาไว้หลายท่าน พร้อมทั้งผลงานของท่านเหล่านั้น ที่ให้ไว้ในงานเสภา เช่น ครูทองอยู่ ครูแจ้ง ครูสน ครูเพ็ง พระยานนท์ เป็นต้น ส่วนครูปี่พาทย์ก็มีครูแก้ว ครูพัก ครูทองอิน ครูมีแขก ครูน้อย เป็นต้น
หนังสือเสภาที่แต่งในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า ฯ จะแต่งเป็นตอน ๆ แต่ละตอนยาวประมาณ 2 เล่มสมุดไทย พอจะขับได้ภายในหนึ่งคืน หนังสือเสภาเรื่องขุนช้าง ขุนแผน ที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน แต่งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า ฯ และพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า ฯ เท่าที่รวบรวมได้ในหอพระสมุด มีต่างกันถึง 8 ฉบับ และยังมีฉบับปลีกย่อยอีกต่างหาก รวมประมาณ 200 เล่ม สมุดไทย
การชำระหนังสือเสภา เมื่อปี พ.ศ.2460
หนังสือเสภาฉบับหอพระสมุดวชิรญาณ เป็นฉบับที่น่าจะได้ชำระเป็นครั้งแรก โดยเลือกจากเรื่องและกลอนดีที่มีอยู่ 38 เล่ม เป็นเรื่องตั้งแต่ต้น จนถึงตอนขับนางสร้อยฟ้าไปเชียงใหม่ ตอนต่อจากนี้ไปถึงตอนพลายยงไปเมืองจีน และตอนพลายเพ็ชร พลายบัว เห็นว่าไม่มีสาระทางวรรณคดี จึงไม่พิมพ์ ต่อมาได้เพิ่มเติมจากบทเสภาปลีกอีกหลายตอนที่แต่งดี เช่น ตอนจรเข้เถรขวาด และบางตอนก็ตัดความในเสภาเดิมไปขยาย เช่น ตอนกำเนิดกุมารทอง หนังสือเสภาฉบับนี้ยาวประมาณ 43 เล่มสมุดไทย